วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อะไรอยู่ในน้ำอัดลม(จากหนังสือพิมพิ์ไทยโพส)


อะไรอยู่ในน้ำอัดลม
นํ้าตาล น้ำอัดลมส่วนใหญ่ประกอบด้วยน้ำตาลและน้ำเชื่อมจากข้าวโพด ซึ่งมีน้ำตาลประเภทฟรักโทสอยู่ ปริมาณการบริโภคน้ำตาลที่องค์การอนามัยโลกแนะนําอยู่ที่ประมาณ ๘-๑๑ ช้อนชาต่อวัน แต่จากการทดสอบของนิตยสาร UTUSAN KON SUMER พบว่าเครื่องดื่มที่วางจำหน่ายส่วนใหญ่มีน้ำตาลอยู่กระป๋องละประมาณ ๔-๑๕ ช้อนชา
น้ำตาล ๑ ช้อนชามีพลังงาน ๑๖ แคลอรี ถ้าเราดื่มเป๊ปซี่ ขนาด ๓๒๕ ซีซี มีน้ำตาล ๕ ช้อนชาครึ่ง เราจะได้พลังงาน ๘๘ แคลอรี ถ้าดื่มสไปร้ท์มีน้ำตาล ๖ ช้อนชาครึ่ง น้ำส้ม มิรินด้ามี ๗ ช้อนชาครึ่ง เป็นต้น ร่างกายคุณจะได้น้ำตาลเท่าไรก็เอาไปคูณกันดูเอง ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งได้มากจึงเป็นสาเหตุของความอ้วนได้อีกประการหนึ่ง
ถ้าดื่มวันละกระป๋องร่างกายก็ได้รับน้ำตาลมากแล้ว ไม่รวมกับน้ำตาลจากแหล่งอื่นอีก ซึ่งก็คงไม่น้อยยิ่งดื่มทุกวันแน่นอนว่าสุขภาพย่อมทรุดโทรมลงเรื่อยๆ เป็นต้นว่า ฟันผุ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน มีโอกาสเป็นโรคหัวใจ อาหารไม่ย่อย และอื่นๆ น้ำตาลไม่ทำให้อิ่ม
เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมสู่กระแสเลือดทำให้เกิดความอยากอาหารอีก นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดอาการติดน้ำตาล เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ (สูง) คงที่ สารให้ความหวาน
ถ้าน้ำอัดลมไหนไม่มีน้ำตาล ก็ต้องมีการใช้สารให้ความหวานแทนสารให้ความหวานที่ใช้กันในน้ำอัดลม ได้แก่ แอสปาเตม อะซีซัลเฟม เค ซัคคารินหรือซูคาโลส แต่ที่ป๊อปปูล่าที่สุดเห็นจะเป็นแอสปาเตม น้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มักจะเป็นน้ำอัดลมกลุ่มคุมน้ำหนักที่มีคำว่า "ไดเอท" อยู่ด้วย เช่น เป๊ปซี่ไดเอท
อย่างแอสปาเตมนั้นมีความหวานมากกว่าน้ำตาล ๒๐๐ เท่าจึงไม่จำเป็นต้องใช้ในปริมาณที่มากเหมือนอย่างน้ำตาล สารให้ความหวานเทียมนี้อาจเกิดผลไม่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคบางคนได้ โดยทำให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรน สูญเสียความ ทรงจำ เศร้าซึม
นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าแอสปาเตมยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคลมบ้าหมู คลื่นเหียน ท้องร่วง คันผิวหนัง สายตาพร่าและอาจตาบอด
นอกจากแอสปาเตมแล้วน้ำอัดลมประเภทไดเอ็ทบางยี่ห้อ จะใช้ซัคคารินซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล ๓๐๐ เท่า ซัคคารินได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ มีการห้ามใช้ซัคคารินในหลายประเทศ เช่น แคนาดา นิวซีแลนด์ และประเทศในยุโรป วัตถุกันเสีย
ปกติน้ำอัดลมมักไม่เสีย เพราะความเป็นกรดและมีคาร์บอเนตในส่วนผสม แต่บางครั้งสภาพการเก็บที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้กลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการผสมวัตถุกันเสียลงไปเล็กน้อยและอาจไม่ระบุในฉลากก็ได้
วัตถุกันเสียที่มักใช้ ได้แก่ โซเดียมเบนโซเอท หรือกรดเบนโซอิค ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคหืด ผื่นคัน และทำกิจกรรม ไม่หยุดนิ่ง (hyperactivity)
บางครั้งผู้ผลิตใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งไม่เพียงแต่กันการบูดเสียเท่านั้น แต่ช่วยให้สีเครื่องดื่มไม่เปลี่ยนทั้งยังเป็นตัว แอนตี้ออกซิเดนท์ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาที่จะทำลายกลิ่นของเครื่องดื่ม ด้วยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เป็นสารทีใช้ฟอกขาววัสดุต่างๆ หากร่างกายได้รับเข้าไปในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดวิงเวียน ผิวหนังพุพอง บวม อ่อนแรง แน่นหน้าอก ช็อก อาการโคม่า หรืออาจตายได้ในคนที่ไวต่อสารนี้ หรือหากได้รับสารนี้ในปริมาณไม่มากนักแต่นานๆ ไปก็อาจ ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในเซลล์สิ่งมีชีวิตได้ กลิ่นรสสังเคราะห์
กลิ่นที่ใช้ในน้ำอัดลมนั้นไม่ได้มาจากธรรมชาติเสียทั้งหมด เพราะกลิ่นจากธรรมชาติถูกจำกัดด้วยฤดูกาลและสภาพ ภูมิศาสตร์จึงมีการใช้กลิ่นสังเคราะห์ซึ่งมีราคาถูกกว่าด้วย แต่กลิ่นสังเคราะห์นั้นไม่ได้มีการระบุรายละเอียดในฉลาก เพราะมีความซับซ้อนมากอาจผสมหลายตัวเพื่อให้ได้กลิ่นรสเฉพาะตัวอย่างเช่น รสส้ม มีส่วนผสมถึง ๔๐๐ ชนิด คาเฟอีน
มักพบในเครื่องดื่มประเภทโคล่าประมาณ ๑/๔-๑/๓ ของ ที่พบในกาแฟหรือชาช่วยเพิ่มกลิ่นรสให้แรงขึ้น คาเฟอีนเป็นสารเสพติดซึ่งช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน จะไปกระตุ้นร่างกายและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ อาจดูเหมือนทำให้สมองแล่น ความอ่อนเพลียหายไป แต่ก็เป็นไปชั่วคราวเท่านั้น หากร่างกายได้รับการกระตุ้นด้วย คาเฟอีนบ่อยๆ จะไปทำลายพลังชีวิต เพราะต้องต่อสู้กับสารพิษหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย คาเฟอีนในปริมาณที่ พบในอาหารและเครื่องดื่มอาจทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับ โรคประสาทหงุดหงิด ขี้วิตก อัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ การดื่มเครื่องดื่มที่คาเฟอีน มากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารหรือในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น อาจทำให้ทารกแรกเกิดพิการ ทำให้โรคเบาหวาน รุนแรงขึ้น ทำลายเยื่อบุ กระเพาะอาหาร
จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า การดื่มน้ำอัดลมหลังการทำงานหนักทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมและโปตัสเซียม ทำให้กล้ามเนื้อระบม ร่างกายฟื้นตัวช้า
จากการสำรวจปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มพบว่า ไดเอ็ทโค้กมีคาเฟอีน ๑๕๗ ppm. เป๊ปซี่ไดเอ็ท มี ๑๑๗ ppm. เป๊ปซี่มี ๙๑ ppm.โคคา โคลา มี ๘๕ ppm. สีสังเคราะห์
tartrazine ให้สีเหลืองส้ม ถูกห้ามใช้ในนอร์เวย์และฟินแลนด์ สีสังเคราะห์ตัวนี้ทำให้เกิดอาการแพ้เช่นผื่นคัน บวมแดง น้ำมูกไหล ตาแดง ทั้งยังอาจเป็นสารก่อมะเร็งด้วย sunset yellow เป็นสารที่อาจก่อมะเร็งถูกห้ามใช้ในฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน
carmoisine ให้สีแดง อาจทำให้เกิดมะเร็ง ภูมิแพ้ และอาหารเป็นพิษถูกห้ามใช้ในสหรัฐอเมริกาและ แคนาดา briliant blue เป็นสารที่อาจก่อมะเร็งและอาจทำลายโครโมโซม ทำให้เกิดอาการแพ้ ถูกห้ามใช้ในประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง ได้แก่ กลุ่มประเทศในประชาคมยุโรป นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์ กรด
กรดที่ใช้ผสมในเครื่องดื่ม เช่น ซิตริค ฟอสฟอริค และบางครั้งใช้กรดมาลิก หรือตาร์ตาริค ทำให้เกิดความซ่าและเป็นตัวรักษาคุณภาพเครื่องดื่ม ด้วยหน้าที่ของกรดอีกประการหนึ่งคือทำให้รสหวานกลมกล่อมพอดี ช่วยให้สดชื่นแก้กระหาย เครื่องดื่มแทบทุกชนิดมีความเป็นกรดสูง โค้กมีค่าความเป็นกรด (PH) ๒.๔ ไดเอ็ทโค้ก ๓.๑๓ สไปรท์ ๓.๓๑ น้ำส้ม ๓.๔๗ เป็นต้น ในสหราชอาณาจักรมีการสำรวจสุขภาพฟันของเด็กในปี ๑๙๙๓ พบว่าร้อยละ ๒๐ ของเด็กที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำประสบปัญหาฟันผุ การเสียของฟันจากการกัดเซาะของกรดจะเริ่มภายใน ๕ นาทีหลังจากดื่มน้ำอัดลมเข้าไป และอาจต่อเนื่องไปจนถึงหนึ่งชั่วโมง จากการศึกษาของ ผศ.ทญ.สร้อยศิริ ทวีบูรณ์ ได้ทดลองแช่ชิ้นฟันในเครื่องดื่ม น้ำอัดลม ๕ ชนิด พบว่าใน ๕ นาทีแรกที่แช่ชิ้นฟันจะมีปริมาณแคลเซียมถูกกัดกร่อนจากผิวเคลือบฟันมีค่าตั้งแต่ ๐.๖๗-๑.๗ ไมโครกรัม ต่อพื้นที่หน้าตัดผิวเคลือบฟัน ๑ ตารางมิลลิเมตร และเพิ่มขึ้นเป็น ๑.๐๓-๒.๓๕ และ ๑.๑๓-๒.๘๒ ไมโครกรัมต่อตารางมิลลิเมตร เมื่อเวลาเพิ่มขึ้นเป็น ๑๐ นาที และ ๑๕ นาที มีงานวิจัยที่ทำในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ แสดงให้เห็นว่าเมื่อนำฟันของมนุษย์ใส่ลงไปในน้ำโคล่าภายในเวลา ๒ วัน ฟันจะเริ่มนุ่ม เคลือบฟันสูญเสียแคลเซียมส่วนใหญ่ไป งานทดลองอีกชิ้นหนึ่ง โดยให้หนูกินแต่เครื่องดื่มโคล่าอย่างเดียว พบว่าฟันกรามของมันสึกกร่อนลงมาถึงระดับเหงือกหลังจากเวลาผ่านไป ๖ เดือน คาร์บอนไดออกไซด์
คาร์บอนไดออกไซด์ทำให้เกิดฟองจึงเป็นส่วนผสมที่สำคัญของน้ำอัดลม ให้ความรู้สึกสดชื่นเพราะไปกระตุ้นเยื่อเมือก (mucous membrane) ในปาก ฟองที่เกิดขึ้นไปกระตุ้นเพดานปาก ทำให้มีรสชาติเพิ่มขึ้น ผลจากคาร์บอนไดออกไซด์ก็คือ เราจะรู้สึกว่าน้ำอัดลมเย็นกว่าอุณหภูมิจริง นอกจากนี้คาร์บอนไดออกไซด์ยังเป็นจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม เพราะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยให้เครื่องดื่มมีอายุการเก็บนาน ดื่มน้ำอัดลมแล้วได้อะไร
โดยเฉลี่ยแล้วน้ำอัดลมให้พลังงานประมาณ ๓๕-๔๕ แคลอรีต่อ ๑๐๐ มล.แต่เป็นพลังงานที่เรียกว่า emptycalory ในทางโภชนาการถือว่ามีคุณค่าทางอาหารต่ำ เป็นพลังงานที่ได้มาจากน้ำตาลขัดขาวอย่างเดียว ดื่มน้ำอัดลมมากอาจทำให้คุณเป็นโรคกระดูกพรุน มีการศึกษาหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าการดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป ไม่ว่าจะแบบมีหรือไม่มีน้ำตาลก็ตาม จะทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และธาตุรองอื่นๆ ออกไปกับปัสสาวะ ยิ่งสูญเสียแร่ธาตุมากเท่าใดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ข้อเสื่อม
ความดันสูง เกิดความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ก็มาก ตามวัยรุ่นที่ดื่มน้ำอัดลมเช้า กลางวัน เย็น เท่ากับกำลังเปิดประตูรับโรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้ ยิ่งเด็กผู้หญิงวัยรุ่นสมัยนี้หากนิยมดื่มน้ำอัดลมขณะที่กังวลกับการรักษารูปร่าง ยิ่งรับประทานอาหารที่มีคุณค่าในปริมาณที่น้อยลงที่สุดก็อาจขาดแคลเซียม นำไปสู่โรคกระดูกพรุนในที่สุด เจน เบรดี้ คอลัมนิสต์ เจ้าของรางวัลจาก The New York Times และผู้แต่ง The Nutrition Book อธิบายว่า "การขาดแคลเซียมในวัยรุ่นพบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากการหันไปดื่มน้ำอัดลมแทนนม ปริมาณฟอสฟอรัสในน้ำอัดลมทำให้ส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสเสียสมดุล และลดความสามารถในการใช้แคลเซียมของ ร่างกาย"
ก่อนตัดสินใจซื้อน้ำอัดลมโปรดคิดสักนิด ถ้าซื้อมาแล้ว ลองก้มลงอ่านฉลากที่ขวดน้ำอัดลม ผู้ผลิตจะบอกอะไรคุณบ้างที่นอกเหนือไปจาก "ใช้วัตถุกันเสีย แต่งกลิ่นรสธรรมชาติ เจือสีสังเคราะห์" ถ้ายังเต็มใจจะดื่มน้ำผสมสารเคมีและน้ำตาลทรายขัดขาวอีกต่อไป ก็ตามใจคุณ (ขอขอบคุณหนังสือพิมพิ์ไทยโพส)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก

งานระดับสูง

งานระดับสูง
ชีวิตไม่มีวันตกต่ำ(ตกงานไม่กลัวกลัวตกนั่งร้าน)

2530

2530
หนุ่มผมยาว

ยุคแสวงหา

ยุคแสวงหา
2536 หาอะไรไม่รู้

ตากล้อง

ตากล้อง
เป็นท่าที่ดูดีที่สุด