วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จะไปให้ถึง


จะไปให้ถึงความฝัน

อุปสรรคกางกั้นไม่หวั่นไหว

ด้วยมีฝันด้วยมีไฟ

จะไปจะไปให้ถึง

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

บ้านระหันค่าย(แดนเกิด)



โอ้แดนเกิดกายเก่าก่อน

จากจรอาลัยไม่หาย

จะกลับไปหารักอย่าด่วนคลาย

ระหันค่ายแม้นตายไม่ลืม

ประวัติหมู่บ้าน
บ้านระหันค่ายตั้งอยู่เขตพื้นที่ตำบลโนนแดง เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ อายุ 225 ปี โดยมีบรรพบุรุษสมัยปู่ ย่า ตา ยาย มาตั้งรกรกอาศัย ทำมาหากิน และสร้างบ้านเรือนอาศัยเป็นหลักแหล่ง เพราะเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีหนองน้ำหนองสาร และนองระหารต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2438 ได้มีการจัดตั้งหมู่บ้านขึ้น เหตุที่ได้ชื่อว่า “บ้านระหันค่าย” เนื่องจาก มีข้าศึกมาโจมตีและรุกไล่ จนทหารถอยร่นมาตั้งค่าย หันหน้าสู้รบกับข้าศึก ณ บริเวณหมู่บ้านนี้ด้านการปกครอง ได้มีผู้ใหญ่บ้านที่ทำหน้าที่ปกครองดูแล ความสงบสุขให้แก่ราษฎรในหมู่บ้านทั้งหมด 10 คน คนแรกชื่อนายขุน ชำนาญ หรือนายเบิ้ม และคนปัจจุบัน ชื่อนายพูน อ่องพิมาย

ถูกปฏิเสธ




หนทางที่จะแก้ปัญหาความขาดแคลนของครอบครัว ถูกปฏิเสธอีกครั้ง ครั้งที่เท่าไรจำไม่ได้


น้ำใจใครหนอ ความกรุณาเรียกร้องไม่ได้ ทนไปก่อนน๊ะลูกพ่อ

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

งาม


ภูหลวง(พระคุณเจ้าพระไพศาล วิศาโล)


เสน่ห์ของภูหลวง
จุ
ดสุดยอดของภูหลวงเมื่อแรกเห็นนั้น ผิดกับที่วาดภาพเอาไว้มาก แทนที่จะเป็นป่าทึบและเต็มด้วยไม้ใหญ่ เบื้องหน้าเราคือป่าแคระหรือป่าไม้พุ่ม ไม้ส่วนใหญ่ลำต้นเตี้ยและเล็ก กลางวันจึงรับแดดเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ต้องเจอกับลมที่ปะทะแรง เคยนึกเอาอย่างคนไม่รู้ว่า "ราชินี" แห่งป่าอนุรักษ์ของไทยจะตระการตาและยิ่งใหญ่ด้วยทิวทัศน์ ยิ่งกว่าภูกระดึงหรือเขาใหญ่ ไม่นึกว่าจุดที่ถือกันว่างดงามด้วยไม้พันธุ์งามนั้นกลับดูพื้น ๆ และออกจะแห้งแล้งด้วยซ้ำ
ที่จริงป่าทึบ ป่าสน และไม้ใหญ่ก็มีอยู่ไม่น้อยทั่วภูหลวง แต่บริเวณที่ลือชื่อที่สุดในด้านไม้ดอก โดยเฉพาะกล้วยไม้ กลับเป็นป่าแคระ ซึ่งมีดินคุณภาพต่ำเอามาก ๆ ระบบนิเวศบริเวณนั้นเปราะบางอย่างยิ่ง ดังนั้นน้อยคนที่จะได้รับอนุญาตให้มาเที่ยวชม นอกจากพระตำหนักของสมเด็จพระราชินีแล้ว ก็มีอาคารไม่กี่หลัง (ซึ่งรวมไปถึงสถานีถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์) อยู่ในบริเวณนั้น
แต่จะว่าไป เป็นเพราะดินที่เลวและสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวยนี้เอง เสน่ห์แห่งภูหลวง จึงเปล่งประกายให้เราได้ชื่นชม ถ้าภูหลวงมีดินดีอุดมด้วยน้ำ ไหนเลยจะมีกล้วยไม้นานาพรรณอยู่ทั่วผืนป่า รองเท้านารี สิงโตกลอกตา เอื้องครั่งแสด และกล้วยไม้อีกกว่า ๒๐๐ ชนิด ช่วยกันแต่งแต้มภูหลวงให้งดงามอย่างหาที่ใดมาเปรียบเทียบได้ยาก
ความงามนั้นมักจะมาควบคู่กับการถือตัวและกรีดกราย แต่ความงามของภูหลวงนั้นกลับให้ความรู้สึกที่ตรงกันข้าม และนี้คือเสน่ห์อันสำคัญของภูหลวง ที่อยู่เบื้องหลังความงามของกล้วยไม้ทั้งหลาย บริเวณที่ถือกันว่างามที่สุดของภูหลวงนั้น ดูสงบเสงี่ยมและอ่อนน้อมถ่อมตนย่างยิ่ง ไร้ซึ่งความยิ่งใหญ่ด้วยประการทั้งปวง จนนึกไม่ถึงเอาเลยเมื่อแรกเห็น
อันที่จริงแล้ว "ความสงบเสงี่ยมและอ่อนน้อมถ่อมตน" คือเอกลักษณ์สำคัญยิ่งของภูหลวงเลยทีเดียว บรรดาชีวิตต่าง ๆ ที่นำความงดงามและกิตติศัพท์มาสู่ภูลูกนี้ล้วนเบาบางอย่างยิ่งในเรื่องความถือตัวถือตน สาเหตุสำคัญก็เพราะ ภูหลวงไม่มีที่ว่างมากนัก สำหรับการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ และความเห็นแก่ตัว ดินที่เลวและน้ำซึ่งมีน้อยทำให้ต้นไม้ที่สูงใหญ่วางอำนาจไม่อาจอยู่ได้ ไม้ใดจะอยู่ภูหลวงได้ต้องทำตัวให้เล็กลงและอยู่อย่างสมถะ กล้วยไม้หลายชนิดไม่ลังเลใจเลยที่จะลดขนาดของตัวเองจนกลายเป็นกล้วยไม้จิ๋ว น้ำค้างเพียงหนึ่งหยดหรือแค่ละอองหมอกในอากาศ ก็ช่วยให้เขาเหล่านั้นอยู่ได้อย่างสบาย
ความแห้งแล้งอีกเช่นกัน ที่ทำให้ชีวิตทั้งหลายไม่อาจอยู่อย่างตัวใครตัวมัน หรือเที่ยวเบียดเบียนกันได้ หากแต่จำต้องโน้มตัวเข้าหากันเพื่อช่วยเหลือกัน เพราะถ้าต่างคนต่างอยู่ก็ต้องสูญพันธุ์กันไปหมด พยานแห่งความร่วมมือกันจะแสดงให้เราประจักษ์แทบทุกตารางนิ้ว ถ้านึกไม่ออกก็ขอให้มองที่ไลเคน ไลเคนเป็นตัวอย่างความร่วมมือกันระหว่างสาหร่าย (หรือตะไคร่) กับรา ฝ่ายแรกนั้นสามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่วนฝ่ายหลังก็ดูดสารอาหารและความชื้นได้ เมื่อรวมกันเป็นไลเคนแล้ว ก็ยังไปร่วมมือและช่วยเหลือชีวิตอื่นอีกต่อไปอีก เช่น เหง้าน้ำทิพย์ ซึ่งอาศัยไลเคนที่ชื่อว่า "ฟองหิน" เอื้อเฟื้ออยู่ที่โคนต้น
คนที่ตัวตนใหญ่โตนั้นไม่คิดที่จะปรับตัว หากเรียกร้องให้คนอื่นปรับเข้าหาตนมากกว่า แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของพันธุ์ไม้ส่วนใหญ่ที่นั่น ขณะที่ก๊อกมองพร้อมจะขึ้นไปอยู่บนต้นไม้อื่น เหง้าน้ำทิพย์ก็ไม่ปฏิเสธที่จะขึ้นบนหิน แม้จะแข็งกระด้างเพียงใด ขอให้มีรอยแตกเล็ก ๆ เท่านั้น เหง้าน้ำทิพย์ก็พร้อมจะยื่นรากเข้าไปแทรกและขออาศัยอยู่ จากนั้นก็ค่อย ๆ เก็บสะสมเศษใบไม้ใบหญ้าแล้วแปรให้เป็นดินรอบโคนต้นเพื่อเก็บความชื้น โดยมีฟองหินช่วยอีกแรงหนึ่ง
คงมีไม่กี่แห่งนักที่เราจะได้เห็นความงดงามเยื่ยงราชินีควบคู่กับสมถะอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ที่ภูหลวงคุณค่าทั้งสองมีให้เห็นได้ไม่ยาก แต่จะมีสักกี่คนที่มองทะลุความงดงาม จนเห็นความสงบเสงี่ยมของบรรดากล้วยไม้พันธุ์ไม้ที่นั่น ทั้ง ๆ ที่คุณค่าประการหลังนั้นคือเอกลักษณ์และเสน่ห์ที่สำคัญที่สุดของภูหลวง ถ้าผู้คนซึมซับรับเอาความสมถะของธรรมชาติที่นั่นไปบ้าง ชีวิตจะมีความสุขกว่าเดิม อีกทั้งโลกก็จะน่าอยู่ยิ่งขึ้นด้วย
น่าเสียดายที่เรามักไปเที่ยวภูหลวงด้วยความถือตัวถือตนอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่จะชื่นชมความงามของกล้วยไม้เท่านั้น หากยังคิดเก็บความงามเหล่านั้นมาเป็นของตัวอย่างเดียว
จะต้องมีภูหลวงอีกกี่แห่ง ขึ้นภูหลวงอีกกี่เที่ยว เราถึงจะซาบซึ้งกับความอ่อนน้อมถ่อมตน และถือเอาภูหลวงเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ แทนที่จะรุมทึ้งรุมทำร้ายเพื่อสนองตัวตนอันพองโตอย่างไม่รู้จักจบสิ้น.

หินเจียร์ตาโบ๋ว

หินเจียร์ตาโบ๋ว

ค่าจ้าง


เจ้านายถามอัตราค่าจ้างอีกแล้ว ทั้งๆที่เคยถามก่อนหน้านี้ตั้งหลายที

ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 จะครบปีแล้ว ลืมผมได้อย่างไร

ปรัชญาชีวิตในวิถีของ โจน จันได(จากเวบบ้านดิน)


(บทความนี้นำมาจากเวบบ้านดิน) นักปราชญ์ที่มีแนวคิดในการดำรงค์ชีวิตอย่างมีความสุขและเรียบง่าย จนได้รับการขนานนามจากรายการเจาะใจ ว่า "คนจนผู้ยิ่งใหญ่"กับปรัชญาชีวิตในวิถีของ โจน จันได"ชีวิตมันเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เราทำให้มันยากเอง และอันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้คือ ใช้เวลาไม่มากนักในการหากิน มันเหลือกินแล้วแต่เราใช้เวลาเยอะมากในการหาเพื่อครอบครัว ฉะนั้นใช้ชีวิตให้ง่ายดีกว่า หลังจากนั้นมา ผมก็เชื่อในเรื่องชีวิตนี้มันง่ายมาตลอด ทำไมต้องทำให้มันยาก ก็เลยเปลี่ยนชีวิตผมมาตลอดเลย ไปอยู่บ้านผมยิ่งสบาย ผมพยายามที่จะพูดกับคน คนที่เย็บหมอนที่บ้านว่าทำหมอน หมอนพวกสามเหลี่ยม หมอนหนุน เย็บหมอนทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่มีเงินไปซื้ออาหารจากตลาดมา วันเดียวหมดมื้อเดียว ผมบอกว่า ถ้าทำสวนเองเนี่ย อย่างผมเนี่ย ดูแลสวนแค่ 10-15 นาทีต่อวันเนี่ย ผมมีผัก มีมะละกอ มีอะไรให้ครอบครัว 5-6 คนอยู่ได้สบาย ทำงานแค่ 15 นาที ทำไมต้องไปนั่งทำงานตั้งวันละ 10 กว่าชั่วโมงนี่ มันก็ทำให้ผมเห็นว่าชีวิตมันง่าย แต่อธิบายให้คนเข้าใจไม่ได้""รอน้ำผักแค่วันละ 15 นาที แต่บางอาทิตย์อาจจะใช้เวลามากกว่าเป็นชั่วโมงก็มี บางครั้งก็อาจจะไปหาขี้วัว หาอะไรมาใส่ด้วย ซึ่งมันไม่บ่อยนักหรอกนะแค่ครั้ง สองครั้ง แต่ปกติแล้ว 15 นาที ถือถังตักน้ำแล้ก็เดินมารดผัก""ทำปุ๋ยหมักใช้เอง"เขาเริ่มทำบ้านดินหลังแรกจากความคิดผสมกับที่ได้เห็นภาพการทำบานดินในหนังสือของฝรั่งเมื่อสำเร็จหลังแรก ก็ทำหลังต่อๆมาให้กับชุมชนในหมู่บ้านจนกระทั่งมีชื่อเสียงได้รับเชิญเป็นวิทยากรแนะนำการสร้างบ้านดินเป็น work shop ที่มีสมาชิกเข้าร่วม มากมายในความเห็นของโจน"การทำบ้านดินไม่ใช่เป้าหมายหลัก ของการทำ Work Shop ที่เราทำอยู่ เป้าหมายหลักก็คือ หัดทำอะไรพึ่งตนเอง กลับมาสร้างศักยภาพให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกับสัตว์ทั่วๆ ไป แต่เพราะทุกวันนี้มีศักยภาพของมนุษย์ต่ำกว่าสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ซะอีก เพราะเราขาดการรักษามรดกในการพึ่งตนเอง คนบางคนก่อไฟไม่เป็น ทำอาหารไม่เป็น นั่นหมายความว่าศักยภาพในชีวิตมันต่ำลง ฉะนั้นเราต้องกลับมาพึ่งตนเอง การทำบ้านดินเป็นส่วนหนึ่งของการพึ่งตนเอง อาหาร บ้าน ผ้า และยาเนี่ย ก็มาคุยเรื่องนี้แหล่ะ เพราะว่าชีวิตมันไม่มีความหมายหรอก ถ้าคนเราพึ่งตัวเองไม่ได้ เพราะว่าอิสรภาพมันก็สูญเสียไป ความภูมิใจในตัวเองก็ไม่มี คุณค่าของชีวิตเราก็มองไม่เห็น เพราะแค่ไม่ได้ใช้แรงงานทำงานเนี่ย ชีวิตก็เป็นเรื่องที่เลื่อนลอยไปแล้ว คนทำงานในเมืองเนี่ยไม่รู้ว่าชีวิตเพื่ออะไร หาเงินอย่างเดียว เพราะไม่มีเวลาว่าง การทำงานคือการมีเวลาว่าง มีเวลาว่างให้กับสมองของเรา ถ้าสมองมีเวลาว่างมันก็จะเห็น มันก็จะมีความเงียบ พอความเงียบเกิดขึ้นมันก็จะเห็นความงามได้ ถ้าเห็นความงามได้ ชีวิตก็มีความสุขได้ แต่ชีวิตทุกคนในเมืองไม่มีโอกาส เพราะมันยุ่งกับงานตลอด แต่เรื่องงานกลุ้มหนักๆ ตลอด แต่ถ้าทำงานหนักปุ๊บเนี่ย โลกจิตโลกความเครียดต่างๆ มันหายไป ปัญหาของความเครียดที่มีมากมายในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งจิตแพทย์เลย แค่กลับมาทำงานหนักเท่านั้นเอง หายหมด อันนี้เห็นชัดในหลายๆ กรณี เพราะคนที่มานี่เราก็คุยกัน หลายคนเขาเครียดมา มาเพราะเครียด เรื่องครอบครัว เรื่องงาน อยากหนีจากสิ่งเหล่านั้น ถึงได้มา แต่พอมาแล้วมันลืม อาการปวดหัวมันหายไป เป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง เพราะเราใช้ร่างกายไม่มีความสมดุลทำให้เกิดความผิดปกติ ฉะนั้นคนชั้นกลางที่มาร่วม Work Shop ถึงได้ถูกอกถูกใจกัน มักจะมีครั้งที่ 2 แทบทุกคนเลย เพราะว่าการทำงานเนี่ยมันน่าเบื่อ แต่ถ้าทำอะไรที่ไม่รู้สึกว่าเป็นงานมันสนุก อย่างทำบ้านดินไม่มีใครรู้สึกว่ามันเป็นงานเลย เรามาเล่นดินกัน"
(ในรูป
โจนกับลูกและภรรยาชาวอเมริกัน"เพ็กกี้" หญิงที่รักงานด้านเอ็นจีโอจากโคโลราโด ผู้เป็นลูกสาวคุณหมอและอาจารย์แห่งครอบครัวคนชั้นกลางที่มีอันจะกิน วันนี้เลือกที่จะมาลงหลักปักฐานกับหนุ่มโจน ในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ )

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กะต่า(ตะกร้า)


ตะกร้านำมาจากบ้าน
อี่พ่อเพิ้นสานมาให้
ไส่ข้าวไส่ของเครื่องใช้
หยิบตะกร้าคราใดคิดฮอดคนให้แหน่เด้อ

สองผู้ยิ่งใหญ่


เขาว่ากันว่ากว่าร้อยโรงงานกว่าล้านดีบี สองหนุ่มนี้ทำมาแล้ว

แต่มันก็สำเร็จ


เชื่อหรือยังเราทำได้

ยิ่งใหญ่เหน็ดเหนื่อย


ภาระกิจพัฒนาประเทศ


เราทำได้

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ลูกชาย


หล่อเหมือนพ่อ

ถ่ายที่ศูนย์ราชการระยอง

นั่งร้าน


นั่งร้าน ชีวิตที่ไม่มีวันตกต่ำ แต่ตกตายนั้นแล้วแต่โชคชะตา

๑๔ วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดีเรื่องโดย พ.ญ.ชัญวลี ศรีสุโข


๑๔ วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดีเรื่องโดย พ.ญ.ชัญวลี ศรีสุโข
ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาก ตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติวันนี้จะขอเสนอ ๑๔ อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ
๑. อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ
๒. เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้
๓. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา
๔. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ ๒-๔ ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง
๕. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้
๖. อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง
๗. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้
๘. เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ ๑๐๐ ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด
๙. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ ๑๐ แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ
๑๐. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
๑๑. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์
๑๒. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน
๑๓. คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ ๔-๖ ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย ๑ วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน
๑๔. ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

ร้างแรมไกล


แล้งร้อนไร้

ร้างแรมไกลเพราะจน

อะไรอยู่ในน้ำอัดลม(จากหนังสือพิมพิ์ไทยโพส)


อะไรอยู่ในน้ำอัดลม
นํ้าตาล น้ำอัดลมส่วนใหญ่ประกอบด้วยน้ำตาลและน้ำเชื่อมจากข้าวโพด ซึ่งมีน้ำตาลประเภทฟรักโทสอยู่ ปริมาณการบริโภคน้ำตาลที่องค์การอนามัยโลกแนะนําอยู่ที่ประมาณ ๘-๑๑ ช้อนชาต่อวัน แต่จากการทดสอบของนิตยสาร UTUSAN KON SUMER พบว่าเครื่องดื่มที่วางจำหน่ายส่วนใหญ่มีน้ำตาลอยู่กระป๋องละประมาณ ๔-๑๕ ช้อนชา
น้ำตาล ๑ ช้อนชามีพลังงาน ๑๖ แคลอรี ถ้าเราดื่มเป๊ปซี่ ขนาด ๓๒๕ ซีซี มีน้ำตาล ๕ ช้อนชาครึ่ง เราจะได้พลังงาน ๘๘ แคลอรี ถ้าดื่มสไปร้ท์มีน้ำตาล ๖ ช้อนชาครึ่ง น้ำส้ม มิรินด้ามี ๗ ช้อนชาครึ่ง เป็นต้น ร่างกายคุณจะได้น้ำตาลเท่าไรก็เอาไปคูณกันดูเอง ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งได้มากจึงเป็นสาเหตุของความอ้วนได้อีกประการหนึ่ง
ถ้าดื่มวันละกระป๋องร่างกายก็ได้รับน้ำตาลมากแล้ว ไม่รวมกับน้ำตาลจากแหล่งอื่นอีก ซึ่งก็คงไม่น้อยยิ่งดื่มทุกวันแน่นอนว่าสุขภาพย่อมทรุดโทรมลงเรื่อยๆ เป็นต้นว่า ฟันผุ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน มีโอกาสเป็นโรคหัวใจ อาหารไม่ย่อย และอื่นๆ น้ำตาลไม่ทำให้อิ่ม
เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมสู่กระแสเลือดทำให้เกิดความอยากอาหารอีก นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดอาการติดน้ำตาล เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ (สูง) คงที่ สารให้ความหวาน
ถ้าน้ำอัดลมไหนไม่มีน้ำตาล ก็ต้องมีการใช้สารให้ความหวานแทนสารให้ความหวานที่ใช้กันในน้ำอัดลม ได้แก่ แอสปาเตม อะซีซัลเฟม เค ซัคคารินหรือซูคาโลส แต่ที่ป๊อปปูล่าที่สุดเห็นจะเป็นแอสปาเตม น้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มักจะเป็นน้ำอัดลมกลุ่มคุมน้ำหนักที่มีคำว่า "ไดเอท" อยู่ด้วย เช่น เป๊ปซี่ไดเอท
อย่างแอสปาเตมนั้นมีความหวานมากกว่าน้ำตาล ๒๐๐ เท่าจึงไม่จำเป็นต้องใช้ในปริมาณที่มากเหมือนอย่างน้ำตาล สารให้ความหวานเทียมนี้อาจเกิดผลไม่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคบางคนได้ โดยทำให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรน สูญเสียความ ทรงจำ เศร้าซึม
นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าแอสปาเตมยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคลมบ้าหมู คลื่นเหียน ท้องร่วง คันผิวหนัง สายตาพร่าและอาจตาบอด
นอกจากแอสปาเตมแล้วน้ำอัดลมประเภทไดเอ็ทบางยี่ห้อ จะใช้ซัคคารินซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล ๓๐๐ เท่า ซัคคารินได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ มีการห้ามใช้ซัคคารินในหลายประเทศ เช่น แคนาดา นิวซีแลนด์ และประเทศในยุโรป วัตถุกันเสีย
ปกติน้ำอัดลมมักไม่เสีย เพราะความเป็นกรดและมีคาร์บอเนตในส่วนผสม แต่บางครั้งสภาพการเก็บที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้กลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการผสมวัตถุกันเสียลงไปเล็กน้อยและอาจไม่ระบุในฉลากก็ได้
วัตถุกันเสียที่มักใช้ ได้แก่ โซเดียมเบนโซเอท หรือกรดเบนโซอิค ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคหืด ผื่นคัน และทำกิจกรรม ไม่หยุดนิ่ง (hyperactivity)
บางครั้งผู้ผลิตใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งไม่เพียงแต่กันการบูดเสียเท่านั้น แต่ช่วยให้สีเครื่องดื่มไม่เปลี่ยนทั้งยังเป็นตัว แอนตี้ออกซิเดนท์ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาที่จะทำลายกลิ่นของเครื่องดื่ม ด้วยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เป็นสารทีใช้ฟอกขาววัสดุต่างๆ หากร่างกายได้รับเข้าไปในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดวิงเวียน ผิวหนังพุพอง บวม อ่อนแรง แน่นหน้าอก ช็อก อาการโคม่า หรืออาจตายได้ในคนที่ไวต่อสารนี้ หรือหากได้รับสารนี้ในปริมาณไม่มากนักแต่นานๆ ไปก็อาจ ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในเซลล์สิ่งมีชีวิตได้ กลิ่นรสสังเคราะห์
กลิ่นที่ใช้ในน้ำอัดลมนั้นไม่ได้มาจากธรรมชาติเสียทั้งหมด เพราะกลิ่นจากธรรมชาติถูกจำกัดด้วยฤดูกาลและสภาพ ภูมิศาสตร์จึงมีการใช้กลิ่นสังเคราะห์ซึ่งมีราคาถูกกว่าด้วย แต่กลิ่นสังเคราะห์นั้นไม่ได้มีการระบุรายละเอียดในฉลาก เพราะมีความซับซ้อนมากอาจผสมหลายตัวเพื่อให้ได้กลิ่นรสเฉพาะตัวอย่างเช่น รสส้ม มีส่วนผสมถึง ๔๐๐ ชนิด คาเฟอีน
มักพบในเครื่องดื่มประเภทโคล่าประมาณ ๑/๔-๑/๓ ของ ที่พบในกาแฟหรือชาช่วยเพิ่มกลิ่นรสให้แรงขึ้น คาเฟอีนเป็นสารเสพติดซึ่งช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน จะไปกระตุ้นร่างกายและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ อาจดูเหมือนทำให้สมองแล่น ความอ่อนเพลียหายไป แต่ก็เป็นไปชั่วคราวเท่านั้น หากร่างกายได้รับการกระตุ้นด้วย คาเฟอีนบ่อยๆ จะไปทำลายพลังชีวิต เพราะต้องต่อสู้กับสารพิษหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย คาเฟอีนในปริมาณที่ พบในอาหารและเครื่องดื่มอาจทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับ โรคประสาทหงุดหงิด ขี้วิตก อัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ การดื่มเครื่องดื่มที่คาเฟอีน มากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารหรือในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น อาจทำให้ทารกแรกเกิดพิการ ทำให้โรคเบาหวาน รุนแรงขึ้น ทำลายเยื่อบุ กระเพาะอาหาร
จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า การดื่มน้ำอัดลมหลังการทำงานหนักทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมและโปตัสเซียม ทำให้กล้ามเนื้อระบม ร่างกายฟื้นตัวช้า
จากการสำรวจปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มพบว่า ไดเอ็ทโค้กมีคาเฟอีน ๑๕๗ ppm. เป๊ปซี่ไดเอ็ท มี ๑๑๗ ppm. เป๊ปซี่มี ๙๑ ppm.โคคา โคลา มี ๘๕ ppm. สีสังเคราะห์
tartrazine ให้สีเหลืองส้ม ถูกห้ามใช้ในนอร์เวย์และฟินแลนด์ สีสังเคราะห์ตัวนี้ทำให้เกิดอาการแพ้เช่นผื่นคัน บวมแดง น้ำมูกไหล ตาแดง ทั้งยังอาจเป็นสารก่อมะเร็งด้วย sunset yellow เป็นสารที่อาจก่อมะเร็งถูกห้ามใช้ในฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน
carmoisine ให้สีแดง อาจทำให้เกิดมะเร็ง ภูมิแพ้ และอาหารเป็นพิษถูกห้ามใช้ในสหรัฐอเมริกาและ แคนาดา briliant blue เป็นสารที่อาจก่อมะเร็งและอาจทำลายโครโมโซม ทำให้เกิดอาการแพ้ ถูกห้ามใช้ในประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง ได้แก่ กลุ่มประเทศในประชาคมยุโรป นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์ กรด
กรดที่ใช้ผสมในเครื่องดื่ม เช่น ซิตริค ฟอสฟอริค และบางครั้งใช้กรดมาลิก หรือตาร์ตาริค ทำให้เกิดความซ่าและเป็นตัวรักษาคุณภาพเครื่องดื่ม ด้วยหน้าที่ของกรดอีกประการหนึ่งคือทำให้รสหวานกลมกล่อมพอดี ช่วยให้สดชื่นแก้กระหาย เครื่องดื่มแทบทุกชนิดมีความเป็นกรดสูง โค้กมีค่าความเป็นกรด (PH) ๒.๔ ไดเอ็ทโค้ก ๓.๑๓ สไปรท์ ๓.๓๑ น้ำส้ม ๓.๔๗ เป็นต้น ในสหราชอาณาจักรมีการสำรวจสุขภาพฟันของเด็กในปี ๑๙๙๓ พบว่าร้อยละ ๒๐ ของเด็กที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำประสบปัญหาฟันผุ การเสียของฟันจากการกัดเซาะของกรดจะเริ่มภายใน ๕ นาทีหลังจากดื่มน้ำอัดลมเข้าไป และอาจต่อเนื่องไปจนถึงหนึ่งชั่วโมง จากการศึกษาของ ผศ.ทญ.สร้อยศิริ ทวีบูรณ์ ได้ทดลองแช่ชิ้นฟันในเครื่องดื่ม น้ำอัดลม ๕ ชนิด พบว่าใน ๕ นาทีแรกที่แช่ชิ้นฟันจะมีปริมาณแคลเซียมถูกกัดกร่อนจากผิวเคลือบฟันมีค่าตั้งแต่ ๐.๖๗-๑.๗ ไมโครกรัม ต่อพื้นที่หน้าตัดผิวเคลือบฟัน ๑ ตารางมิลลิเมตร และเพิ่มขึ้นเป็น ๑.๐๓-๒.๓๕ และ ๑.๑๓-๒.๘๒ ไมโครกรัมต่อตารางมิลลิเมตร เมื่อเวลาเพิ่มขึ้นเป็น ๑๐ นาที และ ๑๕ นาที มีงานวิจัยที่ทำในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ แสดงให้เห็นว่าเมื่อนำฟันของมนุษย์ใส่ลงไปในน้ำโคล่าภายในเวลา ๒ วัน ฟันจะเริ่มนุ่ม เคลือบฟันสูญเสียแคลเซียมส่วนใหญ่ไป งานทดลองอีกชิ้นหนึ่ง โดยให้หนูกินแต่เครื่องดื่มโคล่าอย่างเดียว พบว่าฟันกรามของมันสึกกร่อนลงมาถึงระดับเหงือกหลังจากเวลาผ่านไป ๖ เดือน คาร์บอนไดออกไซด์
คาร์บอนไดออกไซด์ทำให้เกิดฟองจึงเป็นส่วนผสมที่สำคัญของน้ำอัดลม ให้ความรู้สึกสดชื่นเพราะไปกระตุ้นเยื่อเมือก (mucous membrane) ในปาก ฟองที่เกิดขึ้นไปกระตุ้นเพดานปาก ทำให้มีรสชาติเพิ่มขึ้น ผลจากคาร์บอนไดออกไซด์ก็คือ เราจะรู้สึกว่าน้ำอัดลมเย็นกว่าอุณหภูมิจริง นอกจากนี้คาร์บอนไดออกไซด์ยังเป็นจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม เพราะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยให้เครื่องดื่มมีอายุการเก็บนาน ดื่มน้ำอัดลมแล้วได้อะไร
โดยเฉลี่ยแล้วน้ำอัดลมให้พลังงานประมาณ ๓๕-๔๕ แคลอรีต่อ ๑๐๐ มล.แต่เป็นพลังงานที่เรียกว่า emptycalory ในทางโภชนาการถือว่ามีคุณค่าทางอาหารต่ำ เป็นพลังงานที่ได้มาจากน้ำตาลขัดขาวอย่างเดียว ดื่มน้ำอัดลมมากอาจทำให้คุณเป็นโรคกระดูกพรุน มีการศึกษาหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าการดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป ไม่ว่าจะแบบมีหรือไม่มีน้ำตาลก็ตาม จะทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และธาตุรองอื่นๆ ออกไปกับปัสสาวะ ยิ่งสูญเสียแร่ธาตุมากเท่าใดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ข้อเสื่อม
ความดันสูง เกิดความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ก็มาก ตามวัยรุ่นที่ดื่มน้ำอัดลมเช้า กลางวัน เย็น เท่ากับกำลังเปิดประตูรับโรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้ ยิ่งเด็กผู้หญิงวัยรุ่นสมัยนี้หากนิยมดื่มน้ำอัดลมขณะที่กังวลกับการรักษารูปร่าง ยิ่งรับประทานอาหารที่มีคุณค่าในปริมาณที่น้อยลงที่สุดก็อาจขาดแคลเซียม นำไปสู่โรคกระดูกพรุนในที่สุด เจน เบรดี้ คอลัมนิสต์ เจ้าของรางวัลจาก The New York Times และผู้แต่ง The Nutrition Book อธิบายว่า "การขาดแคลเซียมในวัยรุ่นพบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากการหันไปดื่มน้ำอัดลมแทนนม ปริมาณฟอสฟอรัสในน้ำอัดลมทำให้ส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสเสียสมดุล และลดความสามารถในการใช้แคลเซียมของ ร่างกาย"
ก่อนตัดสินใจซื้อน้ำอัดลมโปรดคิดสักนิด ถ้าซื้อมาแล้ว ลองก้มลงอ่านฉลากที่ขวดน้ำอัดลม ผู้ผลิตจะบอกอะไรคุณบ้างที่นอกเหนือไปจาก "ใช้วัตถุกันเสีย แต่งกลิ่นรสธรรมชาติ เจือสีสังเคราะห์" ถ้ายังเต็มใจจะดื่มน้ำผสมสารเคมีและน้ำตาลทรายขัดขาวอีกต่อไป ก็ตามใจคุณ (ขอขอบคุณหนังสือพิมพิ์ไทยโพส)

ไล่ลาหาภาพลักษณ์(พระคุณเจ้าพระไพศาล วิสาโล)


"เราไม่ได้ขายโภชนาการ และคนก็ไม่ได้มาร้านแมคโดนัลด์ เพราะต้องการโภชนาการ" ข้อความบางตอน จากจดหมายเวียนภายใน ของผู้บริหารเครือข่ายแฮมเบอร์เกอร์ระดับโลก ข้างต้น บอกอะไรหลายอย่าง มันไม่เพียงแต่จะควักไส้ควักพุงของแมคโดนัลด์ออกมาให้เราเห็นเท่านั้น หากยังบ่งบอกถึงความเป็นจริงในยุคบริโภคนิยมอย่างถึงแก่น ไม่ว่าจะในฝ่ายผู้ผลิตและผู้บริโภค กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันเปิดเผยถึงจิตวิสัยของผู้คนในยุคปัจจุบัน
แมคโดนัลด์ไม่ได้ขายโภชนาการ ถ้าเช่นนั้นเขาขายอะไร? เราอาจนึกถึงความเอร็ดอร่อยขึ้นมา แต่คำตอบดังกล่าวไม่สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดแมคโดนัลด์ถึงให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้ง และการจัดร้าน แมคโดนัลด์ไม่เพียงแต่จะแทรกตัวเข้ามาตามศูนย์การค้า และย่านชุมชนเท่านั้น หากยังพยายามยึดพื้นที่ริมถนนอันพลุกพล่าน อีกทั้งบุผนังด้วยกระจกใสใบใหญ่ จนข้างนอกสามารถมองเห็นลูกค้าภายในร้านได้อย่างชัดเจน
คนไม่ได้มาร้านแมคโดนัลด์เพียงเพื่อเสพรสชาติทางปากเท่านั้น หากยังปรารถนาความสุขทางใจจากการได้เสพอีกสิ่งหนึ่ง นั่นคือการได้เสพความทันสมัย อย่างไรก็ตามความทันสมัยนั้นแม้จะทำให้ฟูฟ่องได้ก็จริง แต่จะออกฤทธิ์ได้ดีมาก ๆ หากมีคนรับรู้ รับเห็นด้วย ยิ่งเห็นกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งซาบซ่านใจมากเท่านั้น ดังนั้นการซื้อ แมคโดนัลด์มากินที่บ้าน จึงให้ผลทางใจได้ไม่เท่ากับการกินในร้านให้คนข้างนอกได้เห็นเต็มตา
แมคโดนัลด์ไม่ได้ขายโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตอย่างแน่นอน และก็ไม่ได้ขายเฉพาะความเอร็ดอร่อยด้วย หากขายภาพลักษณ์ ความทันสมัย และความโก้เก๋ เป็นเรื่องหลักเลยทีเดียว การมีสัญชาติอเมริกันและเป็นที่นิยมไปทั่วโลก จนยกระดับเป็นผลิตภัณฑ์ "อินเตอร์" ทำให้แมคโดนัลด์กับความทันสมัย ผูกโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ไม่ยาก ในสายตาของคนทั่วไป กล่าวได้ว่านี้เป็นจุดขายสำคัญอันดับหนึ่ง ที่ทำให้แมคโดนัลด์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในทางธุรกิจ
ไม่ใช่เพียงแมคโดนัลด์เท่านั้นที่สำเร็จด้วยกลยุทธ์แบบนี้ ไนกี้เองก็เคยประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า ตนเองไม่ได้ผลิตรองเท้า แต่ "ผลิตกีฬา" พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือสำหรับไนกี้และลูกค้าที่นิยมไนกี้ ความสะดวกสบายจากการใช้รองเท้ายี่ห้อนี้ไม่สำคัญเท่ากับใส่แล้วทำให้ (รู้สึกว่า) มีมาดนักกีฬา คือ แข็งแรง ดูกร่าง "สมาร์ท" และปราดเปรียว อย่างไมเคิล จอร์แดน ซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์ผูกขาดกับรองเท้ายี่ห้อนี้ไปแล้ว
ในแง่หนึ่งก็คือภาพสะท้อนของความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ผู้คนจำนวนมากขึ้งเรื่อย ๆ ซื้อสินค้าเพียงเพราะยึดติดกับยี่ห้อมากกว่าที่จะคำนึงถึงรสชาติ ความเนียนประณีต ความทนทาน หรือคุณภาพในทางกายภาพของผลิตภัณฑ์ชนิดนั้น ถ้าติดยี่ห้อคริสเตียนดิออร์หรือหลุยส์วิตตอง ถึงจะเป็นยาสีฟันก็ยังจะมีคนซื้อคับคั่ง เพราะภาพลักษณ์ดีกว่ายี่ห้อ "ดอกบัวคู่" เป็นไหน ๆ ถึงแม้คุณภาพในทางรักษาฟันของยี่ห้อหลังอาจจะดีกว่าก็คงไม่มีใครนำพา พูดอีกแง่หนึ่งคือ แถวหน้าของผู้บริโภคเวลานี้ กำลังเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่หันมาจับจ่ายใช้สอย เพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตใจ ยิ่งกว่าคิดหาแต่สิ่งปรนเปรอประสาททั้งห้าดังแต่ก่อน
นี้ไม่ได้หมายความว่า ผู้คนกำลังหนีห่างสิ่งปรนเปรอกายความสุขชนิดนี้ ยังเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้คนในปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัย หูฉลามแอร์เย็น ๆ น้ำหอมจรุงใจ บ้านพักริมทะเลสาบ หรือยอดข้าวรสกลมกล่อม ยังเป็นที่ใฝ่หาของผู้คนต่อไปไม่จืดจาง กระนั้นใช่ว่าการเสาะแสวงหาภาพลักษณ์มาประดับตน จะเป็นเพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยามก็หาไม่ แท้ที่จริงมันได้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงกระแสใหญ่ที่กำลังบังเกิดขึ้นไปทั่ว ขณะเดียวกันปรากฏการณ์นี้ยังบ่งบอกอะไรบางอย่าง ที่มีนัยสำคัญเชื่อมโยงถึงเราทุกคนด้วย
อย่างหนึ่งที่มันบอกเราก็คือ ผู้คนเวลานี้ยังหาความสุขไม่พบ สมัยหนึ่งเคยเชื่อกันว่าเรามีโทรทัศน์ วีดีโอ รถยนต์ มีเสื้อผ้าสวยงามและของเอร็ดอร่อยกินไม่ขาดปาก เราจะมีความสุข เป็นเพราะเราเชื่อว่าความสุขของชีวิตอยู่ที่การได้เสพเสวยทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย เราจึงดิ้นรนหาสิ่งต่าง ๆ มาปรนเปรอตน เราต่างทำมาหาเงินตัวเป็นเกลียวเพื่อจะได้มีกินมีเสพอย่างเต็มที่ ด้วยเชื่อว่ายิ่งเสพมากเท่าไรก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น แต่ครั้งได้เสพสมอยากก็ยังไม่รู้สึกพอใจอยู่นั่นเอง
ถ้าหากการเสพปรนเปรอกาย เป็นกุญแจสู่ความสุข และถ้าหากยิ่งเสพมากเท่าไรก็ยิ่งสุขมากเท่านั้น คนสมัยนี้ก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย และในทำนองเดียวกันคนอเมริกันก็น่าจะมีความสุขมากกว่าคนไทย ตามสัดส่วนทรัพย์สินและสิ่งเสพที่เพิ่มพูนมากขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้เลยว่าสมมติฐานนี้จะเป็น เคยมีการสำรวจความคิดเห็นของคนอเมริกัน ปรากฏว่าคนที่บอกว่าตน "มีความสุขมาก" นั้นไม่ได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเลยเมื่อเทียบกับ ๔๐ ปีก่อน ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนอเมริกันในช่วงเวลาดังกล่าว เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว โดยมีการจับจ่ายคำตอบอาจจะออกมาใกล้เคียงกัน ถึงแม้ว่ารายได้เฉลี่ยของคนกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในรอบ ๒๐ ปีที่ผ่านมา
ถ้าเช่นนั้น ผู้คนทุกวันนี้มีความสุขน้อยกว่าคนสมัยก่อนหรือ ? นี้เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าจะถกเถียงกันได้มาก ประเด็นสำคัญตอนนี้ก็คือ รสชาติและความสะดวกสบายในทางกาย ยังไม่ทำให้ผู้คนมีความสุข หรือพึงพอใจกับชีวิตสมอยาก ด้วยเหตุนี้เองหลายคนจึงเริ่มหันไปหาความสุขจากอีกแหล่งหนึ่ง นั่นคือจากภาพลักษณ์ ภาพลักษณ์เป็นสินค้าที่กำลัง "ร้อน" ซึ่งใครต่อใครอยากหามาไว้ใส่ตน ภาพลักษณ์ไม่ได้ปรนเปรอตา หู จมูก ลิ้น หรือร่างกาย (บางครั้งกลับทำให้เจ็บตัวด้วยซ้ำ ผู้ที่ไปผ่าตัดเสริมทรงคงจำได้) แต่มันสามารถตอบสนองความต้องการทางจิตใจได้
คนเรานั้นต้องการความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ คนที่หิวโหยข้าวสุกเปล่า ๆ ก็ทำให้มีความสุขได้ แต่เมื่อมีกินแล้วก็ปรารถนาความเอร็ดอร่อย ครั้งได้สัมผัสกับความอร่อยแล้วก็ยังพบว่าชีวิตต้องการมากกว่านั้น เราต้องการความยอมรับนับถือและความชื่นชมจากผู้อื่น มีหลายวิธีที่จะได้สิ่งนั้นมา แต่เดี๋ยวนี้ใครบ้างที่อยากจะเสียเวลาฟิตซ้อมร่างกายเพื่อมีมาดนักกีฬาให้สาว ๆ ชื่นชม ในเมื่อไนกี้ให้คำมั่นสัญญาแก่เรา ว่าสามารถทำให้เรามีภาพลักษณ์นักกีฬา โดยเพียงแต่ซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้มาใส่เท่านั้น บุคลิกเป็นเรื่องที่ต้องบ่มเพาะทั้งด้วยคุณธรรมความสามารถ แต่ถ้าแอโรว์สามารถสร้างภาพลักษณ์แห่งเอกบุรุษแก่เราได้ เราจะไม่ยอมควักเงินซื้อเชียวหรือ
โฆษณาเป็นอันมากกำลังหันมาเปลี่ยนจุดเน้นจากที่เคยเน้นความเอร็ดอร่อย ความสะดวกสบาย หรือประสิทธิภาพ ก็มาลงทุนสร้างภาพลักษณ์ โดยเอาคนเด่นคนดังไม่ว่าจะเป็นดารา นักกีฬา สถาปนิก มาเป็นพรีเซนเตอร์ หาไม่ก็ผูกสินค้าเข้ากับคุณค่าบางอย่างที่ถือกันว่าสูงส่งดีงาม เช่น ความรัก มิตรภาพ หรือแม้แต่ความเป็นไทย เทคนิคนานาประการถูกระดมเข้ามาเพื่อให้เรารู้สึก (หรือให้คนอื่นเห็น) ว่าเราเป็นคนทนุถนอมลูกเป็นอย่างยิ่ง ถ้าใช้แป้งยี่ห้อนี้ หรือเป็นลูกผู้ชายไม่ทิ้งเพื่อนถ้ากินเหล้ายี่ห้อนั้น
ผู้คนในยุคโลกาภิวัฒน์มาถึงจุดที่พบว่า ความสุขทางกายไม่สามารถให้ความสุขที่แท้จริง ดังนั้นจึงหันมาหาความสุขทางจิตใจ โดยการแสวงหาภาพลักษณ์มาเสริมตัวตนให้สูงเด่น เกิดความสำคัญมั่นหมายว่าตนนั้นเพียบพร้อมไปด้วยลักษณะอาการที่น่าปรนเปรอ (ทางพระเรียกว่า มานะ) แต่แล้วในที่สุดก็จะพบด้วยตนเองว่า ความสุขแบบนี้ให้ผลเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หาใช่ความสุขที่แท้ไม่ ความไม่สมหวังที่เกิดจากการเสพเสวยสิ่งปรนเปรอทางกาย กำลังรออยู่เบื้องหน้าคนทั้งหลาย ที่กำลังเสพเสวยภาพลักษณ์
ภาพลักษณ์ที่ได้จากการบริโภคไม่สามารถเป็นสรณะแก่ชีวิตได้ เพราะมันไม่ใช่ของแท้ หากแต่เป็นของเทียม เทคนิคการโฆษณาชวนให้เข้าใจไปว่า ความสุขความสำเร็จและความสามารถของพรีเซนเตอร์ นั้นเป็นเพราะใช้รองเท้ายี่ห้อนี้ยี่ห้อนั้น ภาพลักษณ์เช่นนี้เป็นของเทียมอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะในความเป็นจริงความสุขความสำเร็จไม่เคยได้มาด้วยวิธีง่าย ๆ เช่นนั้น ใครที่ซื้อรองเท้าหรือรถยนต์ยี่ห้อนั้น เพราะอยากจะเป็นคนเก่ง หรือประสบความสำเร็จอย่างพรีเซนเตอร์ ย่อมไม่มีวันสมหวังไปได้ แม้จะมีภาพลักษณ์ที่ดูดีในสายตาของคนอื่น แต่ภาพลักษณ์ก็ยังเป็นภาพลักษณ์อยู่นั่นเอง มันมิใช่สิ่งที่อยู่ติดเนื้อประจำตัว หากเป็นเพียง "ภาพ" ที่คนอื่นเห็นจากภายนอกเท่านั้น
จริงอยู่ภาพลักษณ์ที่ดูดีนั้นมิได้มีผลต่อผู้อื่นเท่านั้น หากยังมีผลต่อจิตใจของผู้เป็นเจ้าของภาพลักษณ์ด้วย แต่ผลเหล่านี้ไม่เคยอยู่ยั่งยืนมันอาจทำให้ใจของเราฟูฟ่อง ตัวตนพองโต แต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเหตุว่ามันเป็นของเทียมของประดิษฐ์เท่านั้น หากยังเป็นเพราะตัวตนของเราไม่เคยพอใจกับภาพลักษณ์ที่มีเลย มันต้องการภาพลักษณ์ใหม่ ๆ ไม่จบสิ้น มีภาพลักษณ์ว่าเป็นคนมาดเท่แล้วยังไม่พออยากจะมีภาพลักษณ์เป็นคนเก่ง เมื่อเก่งแล้วก็อยากมีภาพลักษณ์ผู้นำ ทรงอำนาจ ฯลฯ มานะนั้นไม่เคยพอใจกับสิ่งปรนเปรอเสียที เช่นเดียวกัน
แต่ถึงจะไล่ล่าหาทรัพย์สินเงินทองและภาพลักษณ์สนองตัวตนเพียงใด ในที่สุดความโหยหาความสุขที่แท้ก็จะแสดงอาการออกมา เมื่อถึงตอนนั้นเราอาจรู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่าและเคว้งคว้าง สิ่งที่ตักตวงหามาได้ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม กลับกลวงโบ๋ และง่อนแง่นอย่างยิ่งสัญชาติญาณเรียกร้องให้เราสอดส่ายแสวงหาความสุขที่แท้ แต่ถึงตอนนั้นเราอาจไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้วก็ได้
(ผมอ่านแล้วชอบเลยเอาฝากครับ)

ธรรมะของพระคุณเจ้าไพศาล วิสาโล

ใต้ร่มไม้
สารจากหมู่บ้าน

ราต้องฝ่าภูเขาสูงชันสองลูกกว่าจะถึงบ้านจะบูสี ลำพังเดินตัวเปล่าก็เหนื่อยแฮกแล้ว นี่ยังต้องขนสัมภาระขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะถุงนอน ผ้าห่ม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความหนาว บนยอดดอยแม่สะลอง
เพียงแค่ ๑๕ นาทีแรก เหงื่อก็ไหลโทรมกายคนทั้งคณะกว่า ๒๐ ชีวิต "จะแฮ" หนุ่มลีซอซึ่งกลับมาช่วยหมู่บ้านของตัว หลังจากจบปริญญา แนะว่าเดินเท่าที่เดินได้ แต่อย่าหยุดพัก จะทำให้เหนื่อยยิ่งกว่าเก่า เราเลยลองทำตามที่เขาว่า ทีนี้กลายเป็นการเดินแบบสโลว์โมชั่น เท้าค่อย ๆ ยก ย่าง แล้วก็เหยียบ ลมหายใจก็เข้าออกเป็นจังหวะตามไปด้วย ส่วนใจก็กำหนดอยู่กับการเดิน ไม่ต้องคิดถึงเป้าหมายว่าอยู่อีกไกลไหม ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อไหร่จะถึง จะถึงช้าหรือเร็ว ก่อนหรือหลัง ก็ไม่เป็นไร
ไม่นานนักขาก็เคลื่อนขยับไปของมันเอง ราวกับเป็นอัตโนมัติ ที่เคยเหนื่อยก็เริ่มผ่อนคลาย คล้ายกับเดินทอดน่องยังไงยังงั้น พลอยให้ได้ชื่นชมทิวทัศน์รอบ ๆ ตัว ชั่วโมงเศษก็ข้ามสันเขา เดินลงสักพักก็เห็นหมู่บ้านแต่ไกล ตั้งโดดเด่นอยู่บนยอดดอยขนาดกะทัดรัด ช่างเลือกทำเลตั้งหมู่บ้านได้ดีอะไรอย่างนี้ ชวนให้นึกถึงบ้านเด็กเล่นที่อยู่บนหลังเต่า
จะบูสียังเลือกที่จะเป็นหมู่บ้านแบบดั้งเดิม ยกเว้นเสื้อผ้าอย่างคนสมัยใหม่แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาไม่ห่างไกลจากอดีตเท่าไร ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีโทรทัศน์ หมูวิ่งเพ่นพ่านหาอาหารแข่งกับไก่ ตี ๕ ครึ่งก็ได้ยินเสียงครกกระเดื่องตำข้าวแล้ว เตาเผาเหล็กยังใช้มือสูบลมอยู่ จอบบิ่นมีดหักก็ไม่ต้องเข้าเมือง ตีเหล็กใกล้ ๆ กับครกกระเดื่องนี่แหละ
เมื่อถนนสายแม่จัน - แม่สะลองเสร็จใหม่ ๆ หลายคนในหมู่บ้านเคยย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ ถนน แต่ไม่นานก็ต้องกลับมาที่เดิม เหตุผลก็คือ อยู่ใกล้เมืองแล้วทนเขาเอาเปรียบไม่ไหว มาอยู่บ้านดีกว่าสบายใจดี ฝรั่งร่วมคณะหลายคนถามชาวจะบูสีว่าไม่อยากรวยหรือ บางคนบอกว่าไม่มีปัญญาจะรวยกับเขา บางคนก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่หลายคนก็บอกว่าถ้าจะรวยก็ต้องทำงานหนัก ทุกข์เปล่า ๆ
ชาวจะบูสีก็คงเหมือนกับชาวมูเซออีกจำนวนไม่น้อย ที่ยังกินอาหารแบบเดิม ๆ คือกินพืชผักไม่กี่ชนิดและส่วนใหญ่ก็หาได้จากในป่า มองตามมาตรฐานสมัยใหม่ ก็ถือว่าเป็นพวกล้าหลัง แต่วิถีชีวิตแบบนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้ภูเขารอบ ๆ จะบูสียังมีป่าเขียวขจี การพิสมัยกับอาหารไม่กี่ชนิด ทำให้ชาวเขาที่นี่ ไม่มีความจำเป็นต้องถางป่าปลูกโน่นนี่มากมาย และเมื่อพึ่งพาอาหารป่าเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยจำต้องรักษาป่าเอาไว้ นี้นับว่าผิดกับชาวเขาหมู่บ้านอื่น มองไปยังเขาลูกข้างหน้าซึ่งเป็นที่ตั้งของชาวเขาอีกเผ่าหนึ่ง รอยถางเตียนมีให้เห็นเป็นหย่อม ๆ ไม่ต่างจากหัวคนที่ถูกแบตตาเลี่ยนไถเป็นแถบ ๆ
ถามว่า วิกฤตเศรษฐกิจเวลานี้กระทบจะบูสีมากแค่ไหน คำตอบก็คือ น้อยมาก แต่ถ้าจะมีคนภายนอกมาก่อกวนรังควาน เพราะเหตุเศรษฐกิจตกสะเก็ดละก็ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แน่นอนว่าจะบูสีไม่ใช่ทางเลือกของสังคมไทยในปัจจุบัน อย่างน้อยสังคมไทยก็คงไม่สามารถทำอย่างชาวจะบูสี ที่ตัดสินใจถอยจากถนนกลับมาสู่ถิ่นเดิมได้ แม้กระนั้น สังคมไทยก็ควรทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาจะบูสีเอาไว้ สาเหตุก็เพราะนั่นเป็นทางเลือกที่เขาตัดสินกันเอง ถึงเราจะไม่เลือกทางนี้ แต่ก็ควรรักษาทางเลือกต่าง ๆ ให้มีหลากหลาย
สังคมไทยจำเป็นจะต้องเดินหน้าต่อไป แต่จะบูสีก็สามารถเป็นบทเรียนสอนใจเราได้ว่า คนเรามีความสุขได้ โดยไม่ต้องอาศัยวัตถุเงินทอง ฝรั่งร่วมคณะหลายคนบอกว่า คุ้มค่าที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่ เพราะเขาได้พบ "สาร" สำคัญที่สามารถนำกลับไปบอกเพื่อนร่วมชาติได้
ขณะเดียวกันคนอย่างวิคกี้ โรบิน เพื่อนร่วมคณะ ก็มีหลายอย่างที่สังคมไทยน่าจะเรียนรู้จากเธอได้ นอกเหนือจากหนังสือขายดี ที่เธอร่วมแต่ง (Your Money or Your Life) ซึ่งว่าด้วยการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแล้ว ตัวเธอเองก็อยู่อย่างง่าย ๆ ด้วย แม้เธอจะใช้จ่ายเพียงแค่วันละ ๑๕ เหรียญ ซึ่งนับว่าต่ำเอามาก ๆ ตามมาตรฐานของคนอเมริกัน แต่เธอกลับมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย มองภายนอกก็เหมือนนักท่องเที่ยวอเมริกันที่ดูมีระดับ ไม่ได้โทรมแบบฮิปปี้สะพายเป้ตามถนนข้าวสารเลย
เธอเล่าว่าที่ใช้เงินน้อย ก็เพราะปลูกผักสวนครัวและทำอาหารร่วมกับเพื่อน จึงเสียค่าอาหารไม่ถึง ๓ เหรียญต่อวัน เสื้อผ้าก็ซื้อจากร้านลดราคา หาไม่ก็เป็นของใช้แล้วมาก่อน แต่ละชิ้นใช้นับสิบปี ยิ่งรถยนต์ด้วยแล้วเธอใช้มา ๑๓ ปีแล้ว แต่ยังดูใหม่และใช้ได้ดี เพราะเอาใจใส่อยู่เสมอ การที่เธอใช้น้อย ทำให้ไม่จำเป็นต้องหาเงินมาก เลยมีเวลาเหลือสำหรับชีวิตส่วนตัวและช่วยเหลือสังคม
ชีวิตของเธอบอกเราว่า อย่าว่าแต่ความสุขเลย แม้กระทั่งมาตรฐานชีวิตก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ใช้เสมอไป ถึงแม้จะใช้น้อยลงแต่มาตรฐานชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องตกต่ำลง
สำหรับคนไทยยุคเศรษฐกิจล่มสลาย ชีวิตของวิคกี้และชาวจะบูสีสอนใจได้มากมาย.

ประชุมวันเสาร์


ประชุมกล่าวถึงผลประโยชน์(ของแผนกอื่น)ที่จะได้รับถ้างานเสร็จตามกำหนด

ซอยร่วมพัฒนา เสาร์ 25 กรกฎาคม 2552


ฟ้าโปร่งเดินออกจากบ้านหกโมงเช้า ผ่านร้านค้าแม่ค้ากำลังงัวเงียเปิดร้าน รปภ.จับกลุ่มรอรถ วันเสาร์ถนนมันโล่งดีน๊ะ
เหมือนทุกวันที่ต้องทำงาน แต่ก็ยังพยายามให้เรียบง่ายเป็นไปด้วยความเงียบง่ายงาม
ตลาดวัดโสภณยามเช้านี่คึกคักมากโดยเฉพาะร้านขายข้าวขายแกง พวกพนักงานบริษัทต่างๆซื้อกันมาก
มีพระออกบิณทบาตรโปรดญาติโยม บางวันมีวณิพกเล่นดนตรีมั่ง ร้องเพลงมั่ง บางวันมีบริษัทผงซักฟอกมาเปิดตัวสินค้าใหม่ด้วยบู๊ธเล้กๆ และพนักงานสาวนุ่งสั้นและฟิต ทำให้พ่อค้าตาสว่างได้เหมือนกัน
ภาพจากนักท่องเที่ยวแดนลาว

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฝนตกอีกแล้ว





ฝนตกอีกแล้ว อากาศดีจัง เสียงคนงานเก็บเครื่องมือ

โจน จันใด


อยากหาเวลาไปทดลองใช้ชีวิตที่ศูนย์พันพรรณของพี่โจนดูสักหนึ่งเดือน.....

ไปหัดทำบ้านดิน

ไปขอเม็ดพันธุ์พื้นบ้าน

ปลีกวิเวกหัดใช้ชีวิตช้าๆ

ชัยชนะเล็กๆ

ชัยชนะเล็กๆของฉันคือสามารถหยุดดูทีวีได้หลายวันแล้วด้วยฮ่าๆๆ
เราทำได้

คลังบทความของบล็อก

งานระดับสูง

งานระดับสูง
ชีวิตไม่มีวันตกต่ำ(ตกงานไม่กลัวกลัวตกนั่งร้าน)

2530

2530
หนุ่มผมยาว

ยุคแสวงหา

ยุคแสวงหา
2536 หาอะไรไม่รู้

ตากล้อง

ตากล้อง
เป็นท่าที่ดูดีที่สุด